โดนัทที่เรารับประทานกันในปัจจุบันนั

โดนัทที่เรารับประทานกันในปัจจุบันนั้น มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงกลางยุค 1800 (พ.ศ. 2343) มันเริ่มต้นมาจากขนมแป้งทอดของผู้อพยพชาวดัทช์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกา
ตรงกลางของขนมแป้งทอดนั้นมักจะไม่สุก และนี่ก็กลายเป็นที่มาที่ไปของ "รูโดนัท" จากข้อมูลหลายๆแหล่งกล่าวกันว่า รูของโดนัทนั้นคิดค้นโดยกัปตันเรือชาวอังกฤษ ชื่อว่า แฮนสัน เกรกอรี (Hanson Gregory) ช่วง ค.ศ. 1847 เอลิซาเบ็ธ มารดาของเกรกอรีได้ทำขนมแป้งทอดเพื่อให้เกรกอรี่นำไปกินบนเรือ เวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุดของที่มาของรูของโดนัทก็คือ เกรกอรี่หาที่วางขนมแป้งทอดในขณะที่เขากำลังคุมพวงมาลัยเรือ เขาก็เลยเสียบมันไว้กับก้านพวงมาลัยเรือซะเลย ส่วนอีกมุมหนึ่งก็ว่ากันว่า เกรกอรี่ไม่ชอบส่วนตรงกลางที่ไม่สุกของขนมแป้งทอดเอาซะเลย เขาก็เลยตัดส่วนตรงกลางของขนมแป้งทอดออกมา แม้ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร แต่ไอเดียของเกรกอรี่ก็ทำให้เราได้กินโดนัทแบบมีรูในปัจจุบัน
เกือบสามสิบปีต่อมา ใน ค.ศ. 1872 จอห์น บลอนเดลล์ (John Blondell) ได้จดสิทธิบัตรเครื่องตัดโดนัท ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมโดนัทในอีก 2-3 ศตวรรษต่อมา ช่วง ค.ศ. 1930 เครื่องทำโดนัทอัตโนมัติทำให้สามารถผลิตโดนัทได้จำนวนมาก และในช่วงยุค 1940-1950 โดนัทยี่ห้อดังๆอย่าง Krispy Kreme และ Dunkin' Donuts ก็เริ่มมีขึ้น
ทว่า เมื่อเร็วๆนี้ นักโบราณคดีได้พบซากแป้งทอดแห้งแข็งแถมยังมีรูในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ในซากเมืองของชาวอเมริกันพื้นเมืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ถ้าศึกษากันดีๆ โดนัทอาจอยู่ร่วมกับมนุษยชาตินานกว่าที่เราคิดก็ได้!

Results (English) 1:

Donuts that we eat nowadays. Originating from the middle 1800 era (2343 (1800)) it originates from a fried dough pastry of Dutch immigrants living in America. ตรงกลางของขนมแป้งทอดนั้นมักจะไม่สุก และนี่ก็กลายเป็นที่มาที่ไปของ "รูโดนัท" จากข้อมูลหลายๆแหล่งกล่าวกันว่า รูของโดนัทนั้นคิดค้นโดยกัปตันเรือชาวอังกฤษ ชื่อว่า แฮนสัน เกรกอรี (Hanson Gregory) ช่วง ค.ศ. 1847 เอลิซาเบ็ธ มารดาของเกรกอรีได้ทำขนมแป้งทอดเพื่อให้เกรกอรี่นำไปกินบนเรือ เวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุดของที่มาของรูของโดนัทก็คือ เกรกอรี่หาที่วางขนมแป้งทอดในขณะที่เขากำลังคุมพวงมาลัยเรือ เขาก็เลยเสียบมันไว้กับก้านพวงมาลัยเรือซะเลย ส่วนอีกมุมหนึ่งก็ว่ากันว่า เกรกอรี่ไม่ชอบส่วนตรงกลางที่ไม่สุกของขนมแป้งทอดเอาซะเลย เขาก็เลยตัดส่วนตรงกลางของขนมแป้งทอดออกมา แม้ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร แต่ไอเดียของเกรกอรี่ก็ทำให้เราได้กินโดนัทแบบมีรูในปัจจุบัน เกือบสามสิบปีต่อมา ใน ค.ศ. 1872 จอห์น บลอนเดลล์ (John Blondell) ได้จดสิทธิบัตรเครื่องตัดโดนัท ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมโดนัทในอีก 2-3 ศตวรรษต่อมา ช่วง ค.ศ. 1930 เครื่องทำโดนัทอัตโนมัติทำให้สามารถผลิตโดนัทได้จำนวนมาก และในช่วงยุค 1940-1950 โดนัทยี่ห้อดังๆอย่าง Krispy Kreme และ Dunkin' Donuts ก็เริ่มมีขึ้น ทว่า เมื่อเร็วๆนี้ นักโบราณคดีได้พบซากแป้งทอดแห้งแข็งแถมยังมีรูในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ในซากเมืองของชาวอเมริกันพื้นเมืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ถ้าศึกษากันดีๆ โดนัทอาจอยู่ร่วมกับมนุษยชาตินานกว่าที่เราคิดก็ได้!

Results (English) 3:

Donuts we eat together current. Starting from the Middle Ages 1800 (the 2343) started from fried dough cake of ชาวดัทช์ที่ immigrants living in America
.In the middle of the fried dough cake is often not ripe. And this became the origin of the "doughnut holes" from various information sources said The hole of the doughnut was invented by British captain named Hanson Gregory (Hanson Gregory) range.1847 Elizabeth. The mother of Gregory do fried dough cake to Gregory the eat on the ship. The most popular version of the origin of the pores of the donut is. Gregory find place the pastry dough while he's trying to control steering the boat.The other one is said that Gregory like middle part of candy raw dough. So he cut the middle part of the fried dough cake. Even if the truth is?
.Nearly thirty years later, in AD 1872 John blonde Dell (John Blondell) patented cutter donut. This technology is of great importance to the industry which donuts in 2-3 century later period.1930 donut machine automatically and can produce a lot of donuts, and during the 1940-1950 donuts ยี่ห้อดังๆ as Krispy Kreme and Dunkin 'Donuts started up
.But recently, archaeologists have found remains of flour, dry ice and there's a hole in the ตะวันตกเฉียงใต้ของ America. In the town remains of prehistoric Native Americans, so if you study well.